S&OP คืออะไร? เปลี่ยนสงคราม 'ฝ่ายขาย vs ฝ่ายผลิต' ให้เป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจด้วย ERP
หยุดวงจรสต็อกจม-ของขาด ด้วยกระบวนการวางแผนการผลิตและขาย (Sales and Operations Planning) ที่ใช้ข้อมูลจริงจาก ERP เป็นศูนย์กลาง
17 August, 2025 by
DM Post


ห้องประชุมร้อนเป็นไฟอีกแล้ว... ฝ่ายขายต้องการโปรโมชั่นกระตุ้นยอด แต่ฝ่ายผลิตบอกว่าทำไม่ทันและวัตถุดิบไม่พอ ฝ่ายคลังสินค้าก็กุมขมับกับสต็อกที่บวมขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่สินค้าบางตัวกลับขาดสต็อกจนเสียโอกาสการขาย นี่คือภาพสะท้อนของปัญหาคลาสสิกที่เกิดขึ้นในหลายองค์กร: ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายขายและฝ่ายผลิต ที่ไม่ได้เกิดจากเรื่องส่วนตัว แต่เกิดจาก 'ข้อมูล' ที่กระจัดกระจายและเป้าหมายที่สวนทางกัน

ปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องน่ารำคาญในการทำงาน แต่เป็นตัวการสำคัญที่ฉุดรั้งการเติบโตของบริษัท ทำให้เกิดต้นทุนแฝงมหาศาล ทั้งค่าเสียโอกาสทางการขาย ต้นทุนการเก็บรักษาสินค้า และที่สำคัญที่สุดคือการบั่นทอนความสามารถในการวางแผนกลยุทธ์ระยะยาวและการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นบริษัทมหาชน (IPO)

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ S&OP (Sales and Operations Planning) กระบวนการที่จะมาทลายกำแพงข้อมูลและเปลี่ยนความขัดแย้งนี้ให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจ โดยมี ระบบ ERP เป็นหัวใจสำคัญ

ทำไมฝ่ายขายกับฝ่ายผลิตถึงคุยกันคนละภาษา? ต้นตอของปัญหาที่ฉุดรั้งการเติบโต

ความขัดแย้งระหว่างสองแผนกนี้มีรากฐานมาจากเป้าหมายและตัวชี้วัด (KPIs) ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อแต่ละฝ่ายทำงานโดยยึดจากข้อมูลคนละชุด ก็เปรียบเสมือนการพายเรือคนละทิศทาง ลองดูภาพเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น

มุมมอง (Aspect)ฝ่ายขาย (Sales)ฝ่ายผลิต (Production)
เป้าหมายหลักทำยอดขายให้ได้สูงสุด (Maximize Revenue)ผลิตสินค้าด้วยต้นทุนต่ำที่สุด (Minimize Cost & Maximize Efficiency)
KPI สำคัญยอดขาย (Sales Target), ส่วนแบ่งตลาด (Market Share)ต้นทุนต่อหน่วย (Cost per Unit), อัตราการใช้เครื่องจักร (Machine Utilization)
แหล่งข้อมูลไฟล์ Excel พยากรณ์ยอดขาย, รายงานจาก CRM, ข้อมูลคู่แข่งตารางวางแผนการผลิต, รายงานสต็อกวัตถุดิบ, ข้อมูลกำลังการผลิต

จากตารางจะเห็นว่าทั้งสองฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเอง แต่การทำงานบนข้อมูลคนละชุด (Data Silos) นำไปสู่การคาดการณ์ที่ผิดพลาด ฝ่ายขายอาจพยากรณ์ยอดขายสูงเกินจริง ทำให้ฝ่ายผลิตเร่งกำลังการผลิตจนเกิดสต็อกส่วนเกิน (Excess Inventory) ซึ่งมีต้นทุนการจัดเก็บสูงถึง 15-25% ของมูลค่าสินค้าต่อปี ในทางกลับกัน หากฝ่ายขายไม่ได้ให้ข้อมูลที่แม่นยำ ก็อาจเกิดภาวะของขาด (Stockouts) ทำให้บริษัทเสียโอกาสในการขายไป 5-10% และทำลายความเชื่อมั่นของลูกค้า

S&OP คืออะไร? ไม่ใช่แค่การประชุม แต่คือ 'เข็มทิศ' นำทางธุรกิจ

S&OP ย่อมาจาก Sales and Operations Planning คือ กระบวนการทางธุรกิจที่ทำซ้ำเป็นรอบ (โดยส่วนใหญ่มักเป็นรายเดือน) เพื่อสร้างสมดุลและเชื่อมโยงแผนความต้องการของลูกค้า (Demand) เข้ากับแผนการจัดหาและผลิต (Supply) รวมถึงแผนการเงิน (Financial Plan) ให้ออกมาเป็นแผนกลยุทธ์เดียวที่ทุกคนในองค์กรเห็นชอบและพร้อมลงมือทำ

หัวใจของ S&OP ไม่ใช่การประชุมเพื่อหาคนผิด แต่คือการสร้าง 'แผนเดียว' หรือ 'One Plan' ที่เป็นความจริงร่วมกันของทั้งองค์กร ทำให้ทุกฝ่ายตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงไปจนถึงระดับปฏิบัติการมองเห็นภาพเดียวกันและเดินไปในทิศทางเดียวกัน

กระบวนการ S&OP จะรวบรวมข้อมูลสำคัญจากหลายส่วนเข้ามาวิเคราะห์ร่วมกัน ได้แก่:

  • ข้อมูลฝั่ง Demand: พยากรณ์ยอดขายจากฝ่ายขายและฝ่ายการตลาด
  • ข้อมูลฝั่ง Supply: ข้อมูลกำลังการผลิต, ระดับสินค้าคงคลัง, แผนการจัดซื้อวัตถุดิบ
  • ข้อมูลฝั่ง Finance: แผนงบประมาณ, เป้าหมายกำไร, สภาพคล่องทางการเงิน

ก่อน-หลังมี S&OP: ภาพชัดๆ ของความแตกต่างที่วัดผลได้

การนำกระบวนการ S&OP เข้ามาใช้อย่างเป็นระบบจะเปลี่ยนวิธีการทำงานขององค์กรจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากการทำงานแบบ 'ตั้งรับ' คอยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไปสู่การทำงานเชิง 'รุก' ที่วางแผนและคาดการณ์อนาคตได้อย่างแม่นยำ นี่คือภาพเปรียบเทียบที่ชัดเจน

สถานการณ์ (Situation)ก่อนมี S&OP (Before S&OP)หลังมี S&OP และ ERP (After S&OP & ERP)
สต็อกสินค้าสต็อกบวม หรือ ของขาดบ่อยครั้งระดับสต็อกเหมาะสม (Optimized Inventory)
การส่งมอบผิดนัดส่งของ, ต้นทุนขนส่งด่วนสูงอัตราส่งมอบตรงเวลา (On-time Delivery) >98%
การทำงานร่วมกันต่างคนต่างทำ, โยนความผิดกันไปมาทำงานเป็นทีม, มีเป้าหมายร่วมกันชัดเจน
การตัดสินใจใช้ความรู้สึกและประสบการณ์ส่วนตัวตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลจริง (Data-Driven)

5 ขั้นตอนสร้างแผน S&OP ที่ทำได้จริง ด้วยข้อมูลจาก ERP

การสร้าง แผน S&OP ที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยกระบวนการที่เป็นระบบและทำซ้ำได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก โดยแต่ละขั้นตอนต้องพึ่งพาข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันจากศูนย์กลางข้อมูลเพียงแห่งเดียว นั่นคือระบบ ERP ของคุณ

  1. รวบรวมข้อมูล (Data Gathering): ขั้นตอนแรกคือการดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจากอดีตและปัจจุบัน หัวใจสำคัญของขั้นตอนนี้คือการดึงข้อมูลที่แม่นยำและเป็นปัจจุบันที่สุดจาก ระบบ ERP สำหรับฝ่ายผลิต ของคุณ เช่น ยอดขายจริง, ระดับสต็อกปัจจุบัน, กำลังการผลิต, และ Lead time ของวัตถุดิบ
  2. วางแผนความต้องการ (Demand Planning): ฝ่ายขายและฝ่ายการตลาดนำข้อมูลที่รวบรวมได้ มาวิเคราะห์ร่วมกับแนวโน้มตลาด, แผนโปรโมชั่น, และข้อมูลคู่แข่ง เพื่อสร้างแผนพยากรณ์ยอดขาย (Sales Forecast) สำหรับช่วงเวลาถัดไป (เช่น 3-12 เดือนข้างหน้า)
  3. วางแผนการผลิต/จัดหา (Supply Planning): เมื่อได้แผน Demand แล้ว ฝ่ายผลิต, ฝ่ายจัดซื้อ, และฝ่ายคลังสินค้าจะนำตัวเลขนั้นมาวางแผนการจัดหาทรัพยากร ว่าต้องใช้กำลังคน, เครื่องจักร, และวัตถุดิบเท่าไหร่ เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าได้ทันตามความต้องการโดยไม่สร้างภาระต้นทุนที่สูงเกินไป
  4. ประชุม Pre-S&OP (Reconciliation): เป็นการประชุมระดับผู้จัดการจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง (ขาย, ผลิต, จัดซื้อ, การเงิน) เพื่อนำแผน Demand และ Supply มาเปรียบเทียบกัน ในขั้นตอนนี้จะมีการระบุช่องว่าง, ข้อจำกัด, หรือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งหาแนวทางแก้ไขในเบื้องต้นเพื่อหาจุดที่สมดุลที่สุด
  5. ประชุมผู้บริหาร S&OP (Executive Meeting): นำข้อสรุปและทางเลือกจากที่ประชุม Pre-S&OP มาเสนอต่อผู้บริหารระดับสูงเพื่อทำการตัดสินใจขั้นสุดท้ายและอนุมัติแผนรวมที่เป็นหนึ่งเดียว (The One Plan) แผนนี้จะกลายเป็นแนวทางในการดำเนินงานของทุกฝ่ายในรอบเดือนถัดไป

บทบาทของ ERP: หัวใจสำคัญที่ทำให้ S&OP ไม่ใช่แค่ฝัน

หลายองค์กรพยายามจะทำ S&OP ด้วย Excel แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว เพราะปัญหาข้อมูลที่ไม่ตรงกันและความล่าช้าในการรวบรวม นี่คือจุดที่ระบบ ERP เข้ามามีบทบาทสำคัญที่สุด

Key Takeaway: ERP ไม่ใช่แค่โปรแกรมบัญชี แต่มันคือ 'แหล่งข้อมูลความจริงเพียงแหล่งเดียว (Single Source of Truth)' ที่เชื่อมโยงทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน ทำให้แผน S&OP ของคุณตั้งอยู่บนข้อมูลจริง ไม่ใช่การคาดเดา

ระบบ ERP ทำหน้าที่เป็นกระดูกสันหลังทางเทคโนโลยีให้กับกระบวนการ S&OP โดยการรวบรวมข้อมูลจากทุกแผนก ไม่ว่าจะเป็นการขาย, การผลิต, การจัดซื้อ, คลังสินค้า, และการเงิน มาไว้ในฐานข้อมูลเดียวกันแบบ Real-time เมื่อทุกคนทำงานบนข้อมูลชุดเดียวกัน ความขัดแย้งที่เกิดจากตัวเลขที่ไม่ตรงกันก็จะหมดไป แนวคิดนี้ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นรากฐานสำคัญของการวางแผนธุรกิจยุคใหม่ ดังที่บริษัทวิจัยชั้นนำอย่าง Gartner ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีข้อมูลที่บูรณาการเพื่อการตัดสินใจในกระบวนการ S&OP

ผลลัพธ์ที่จับต้องได้: เมื่อ S&OP และ ERP ทำงานร่วมกัน

การผสานพลังระหว่างกระบวนการ S&OP ที่แข็งแกร่งและเทคโนโลยี ERP ที่ทันสมัย จะสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องและวัดผลได้ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อกำไรและมูลค่าของบริษัท:

  • ลดสินค้าคงคลัง (Inventory Reduction): ลดลงได้ถึง 15-30% ช่วยเพิ่มกระแสเงินสดหมุนเวียนในธุรกิจ
  • เพิ่มความแม่นยำในการพยากรณ์ (Forecast Accuracy): เพิ่มขึ้นจนมีความแม่นยำมากกว่า 85%
  • ปรับปรุงระดับบริการลูกค้า (Service Level): อัตราการส่งมอบตรงเวลา (On-time Delivery) สูงกว่า 98% สร้างความพึงพอใจและรักษาฐานลูกค้า
  • ลดต้นทุนการดำเนินงาน (Reduced Costs): ลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งด่วนและค่าล่วงเวลาในการผลิตที่ไม่จำเป็น
  • เพิ่มความเร็วในการตัดสินใจ (Faster Decision-Making): ข้อมูลที่พร้อมใช้งานและถูกต้องช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและเฉียบคม

การลงทุนในกระบวนการ S&OP และระบบ ERP ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาการทะเลาะกันของฝ่ายขายและฝ่ายผลิต แต่คือการวางรากฐานที่มั่นคงเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ พร้อมรับมือกับทุกความท้าทายในโลกธุรกิจ

พร้อมหรือยังที่จะเปลี่ยนความขัดแย้งให้เป็นพลังขับเคลื่อนสู่การเติบโต?

การสร้างแผน S&OP ที่มีประสิทธิภาพเริ่มต้นจากการมีรากฐานข้อมูลที่แข็งแกร่ง ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมให้คำปรึกษาเชิงลึก เพื่อวิเคราะห์กระบวนการปัจจุบันของคุณและวาง Roadmap การใช้ ERP เพื่อสร้าง S&OP ที่เหมาะสมกับองค์กรของคุณโดยเฉพาะ

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรีสำรวจโซลูชัน ERP
Share this post